ทำไมถึงเป็นเลือดจระเข้ 7 มีนาคม 256415 พฤศจิกายน 2021admin2ข่าวสารเกร็ดความรู้, เลือดจระเข้แคปซูลบำรุงร่างกาย, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร, รักษาแผลเรื้อรัง, หอบหืด, เลือดจระเข้ 100%, แคปซูนเลือดจระเข้, แคปซูลเลือดจระเข้, โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง, โรคภูมิแพ้, โรคมะเร็ง, โรคเบาหวาน, โลหิตจาง สาเหตุที่นำเลือดจระเข้มาสกัด เพราะเห็นว่าเลือดจระเข้เป็นสัตว์ที่แข็งแรง ไม่ค่อยเป็นอะไรง่ายๆ แม้จะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำที่ไม่ค่อยสะอาด หรือเมื่อต่อสู้กันจนบาดเจ็บ แผลก็ไม่เคยเน่า และแผลกลับหายได้เองอย่างรวดเร็ว จึงสันนิษฐานว่าเลือดจระเข้จะมีสารอาหารบางอย่างที่มีคุณสมบัติพิเศษ ซึ่งในหลายประเทศ ทั้ง ญี่ปุ่น จีน หรือ แม้แต่อเมริกายังให้ความสนใจ ซึ่งรองศาสดาจารย์ดอกเตอร์วิน ได้เริ่มทำการวิจัยมาตั้งแต่ปี 2542 เลือดจระเข้ที่นำมาสกัด จะใช้วิธีการเจาะเลือดโดยเข็มแสตนเลสที่ได้รับการออกแบบมาโดยเฉพาะ นำมาเก็บเลือดจระเข้ที่มีอายุอย่างน้อย 3 ปีและเป็นจระเข้ที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง เมื่อเจาะเลือดแล้วจะเว้นระยะเวลาประมาณ 3 เดือนจึงจะนำจระเข้มาเจาะเลือดได้อีก (เหมือนคนที่บริจาคเลือด) เลือดจระเข้ 10.5 กก จะนำมาทำเลือดจระเข้แคปซูลได้ประมาณ 3,500-4,000 เม็ด (ขนาด 250 มิลลิกรัม) ก่อนเจาะเลือดจระเข้ จะต้องทำความสะอาดบริเวณที่เจาะด้วย 70% แอลกอฮอล์ เก็บเลือดโดยใช้อุปกรณ์ และภาชนะที่ผ่านการฆ่าเชื้อ และเก็บเลือดในภาชนะปิด เพื่อให้ได้เลือดที่สะอาดปราศจากการปนเปื้อน จากนั้นนำเลือดที่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว มาผ่านกระบวนการระเหิดแห้ง (Freeze Drying) เพื่อรักษาคุณภาพองค์ประกอบโปรตีนที่สำคัญในเลือดจระเข้ นำเลือดจระเข้ระเหิดแห้งที่ได้นำมาบดให้ละเอียด โดยภาชนะที่ผ่านการฆ่าเชื้อ แล้วบรรจุในแคปซูลภายใต้ตู้ควบคุมการปนเปื้อนเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งปัจจุบันได้มีการใช้แคปซูลที่ผลิตจากธัญพืช นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น มาใช้ในการบรรจุเลือดจระเข้ ซึ่งจะเป็นแคปซูลที่ไม่มีสารตกค้าง หรือสะสมในร่างกาย เริ่มทำตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเลือดจระเข้แคปซูล ผลตอบรับถือว่าดีเกินคาด เพราะมีผู้ป่วยหลายรายทานแล้วมีสุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในประเทศ รวมทั้งยังมีการส่งออกไปจีน และญี่ปุ่น อีกด้วย เรียกว่าเป็นการต่อยอดธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง และยังมีส่วนช่วยให้คนกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้นได้อีกด้วย